สิวอักเสบเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญ จนทำให้เกิดความไม่มั่นใจ บางครั้งสิวอักเสบไม่ได้เพียงแค่สร้างความเจ็บปวดทางกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจด้วย การรักษาสิวอักเสบให้หมดไปไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อสาเหตุของการเกิดสิวนั้นซับซ้อนและมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน การดูแลผิว หรือปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจสิวอักเสบและวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผิวของคุณกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คืออะไร
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือภาวะที่รูขุมขนเกิดการอุดตันและติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดการบวมแดง และมีหนองภายใน เนื่องจากรูขุมขนอุดตันด้วยไขมันและเซลล์ผิวที่ตาย สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกายแต่จะพบบ่อยที่สุดที่ใบหน้า หน้าอก และหลัง เป็นต้น
สาเหตุของการสิวอักเสบ
สาเหตุของการเกิดสิวอักเสบ มีดังนี้
- การผลิตน้ำมันบนผิวหนังมากเกินไป
- การอุดตันของรูขุมขน
- การเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย P.acne (Propionibacterium acnes)
- การอักเสบของผิวหนัง
- ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในวัยรุ่นและช่วงมีประจำเดือน
- กรรมพันธุ์
- ความเครียด
- อาหารบางชนิด เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง นมพร่อมมันเนย ช็อกโกแลต แป้งที่ย่อยง่าย เป็นต้น
- เครื่องสำอาง การแต่งหน้า
สิวอักเสบมีกี่ประเภท
สิวอักเสบสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้
สิวอักเสบเป็นตุ่มนูนแดง (Papule)
สิวอักเสบประเภทนี้มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงที่เกิดจากการอักเสบในรูขุมขน โดยปกติแล้วจะไม่มีหนอง สิวประเภทนี้มักจะเจ็บและเป็นสัญญาณของการอักเสบในชั้นผิวหนัง การรักษาสิวอักเสบประเภทนี้ มักจะใช้ยาทาภายนอกที่ช่วยลดการอักเสบ และฆ่าแบคทีเรียให้สิวยุบ และหายไป
สิวอักเสบหัวหนอง (Pustule)
สิวประเภทนี้มีลักษณะคล้ายกับตุ่มนูนแดง แต่จะมีหนองอยู่ภายใน สิวหัวหนองมักเกิดขึ้นเมื่อการอักเสบเพิ่มขึ้นและมีการสะสมของเซลล์ภูมิคุ้มกันในรูขุมขน สิวประเภทนี้อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดและควรหลีกเลี่ยงการกดหรือบีบ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม
สิวอักเสบเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง (Acne Cyst)
สิวอักเสบประเภทนี้มีลักษณะเป็นถุงใหญ่ที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังและมักจะเจ็บปวด สิวชนิดนี้เกิดจากการสะสมของไขมันและเซลล์ผิวที่ตาย ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและการติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษาสิวอักเสบประเภทนี้อย่างถูกวิธี อาจทิ้งรอยแผลเป็นที่ชัดเจนได้ หรืออาจนำสู่โอกาสในการเกิดหลุมสิวได้อีกด้วย
สิวหัวช้าง (Acne Conglobata)
สิวหัวช้างเป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุดของสิวอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นตุ่มหนองที่เชื่อมต่อกันทำให้เกิดก้อนใหญ่บนผิวหนัง สิวประเภทนี้มักมีอาการเจ็บปวดและอักเสบอย่างรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาสิวอักเสบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นที่อาจนำไปสู่หลุมสิวได้เช่นกัน
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวอักเสบ
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดสิวอักเสบขึ้นอีก สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วย 3 วิธีหลัก ดังนี้
- ดูแลผิวและความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำ เช่น การล้างหน้า ขัดผิวหรือการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซีบัมและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทั้งนี้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันอีกด้วย
- ปรับเปลี่ยนอาหารการกิน การได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวอักเสบอีกด้วย เช่น โอเมก้า 3 สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินต่าง ๆ เพื่อเสริมเกราะป้องกันให้แก่ผิว ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป หรืออาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาล และงดรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มาจากนม
- บริหารความเครียด ความเครียดนำไปสู่การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดสิวขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการความเครียด และออกกำลังกายอย่งสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลฮอร์โมนและลดโอกาสในการเกิดสิวได้
วิธีการรักษาสิวอักเสบ
สำหรับวิธีการรักษาสิวอักเสบ มีด้วยกันทั้งหมด 3 วิธี ดังนี้
ยาทาสำหรับรักษาสิวอักเสบ
ยาทาภายนอกที่ใช้สำหรับรักษาสิวอักเสบ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะสามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่ล้าน และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการทานยา ทั้งนี้การใช้ยาทาสำหรับสิวอักเสบนั้น จะเหมาะสำหรับสิวที่มีความรุนแรงระดับปานกลางถึงมาก โดยตัวยาที่ใช้สำหรับรักษาสิวอักเสบ ได้แก่ ยากลุ่ม (Benzoyl peroxide) ยาฆ่าเชื้อ (Topical antibiotics) หรือ ยาทาเรตินอยด์ (Retinoid) อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนใช้เท่านั้น
ยาทานสำหรับรักษาสิวอักเสบ
ในกรณีที่ผู้ที่มีปัญหาสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบทาแล้ว โดยยาทานสำหรับรักษาสิวอักเสบนั้น เป็นยาปฏิชีวะนะ เช่น Tetracycline Doxycycline และ Erythromycin ซึ่งจะเข้าไปช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและลดการอักเสบ ทั้งนี้ การทายาก็จะตามมาด้วยผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ การใช้ยาทานจะอยู่ภายใต้การควบคุมและรักษาของแพทย์เท่านั้น ไม่แนะนำให้ซื้อยาทานเอง
รักษาสิวอักเสบทางการแพทย์
สำหรับการรักษาสิวอักเสบทางการแพทย์นัั้น เป็นวิธีเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นแล้ว เช่น
- การฉีดสิว เป็นการฉีดสเตรียมลอยด์ เพื่อกระตุ้นการรักษาและลดอาการอักเสบลง อย่างได้ก็ตาม วิธีนี้ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น
- การรักษาด้วยเลเซอร์รักษาสิว เป็นการใช้แสงเลเซอร์ยิงลงสู่ชั้นผิว เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ ทั้งนี้ อาจจะต้องอาศับการรักษาที่หลายครั้งและสม่ำเสมอ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- การลอกผิว เป็นการลอกผิวด้วยสารเคมี โดยจะใช้สารละลายเคมีกับผิวหนัง ทำให้รูขุมขนเปิด ลดอาการอักเสบลง และยังช่วยผลัดเซลล์ผิว และกำจัดเซลลืผิวที่ตายไปแล้วไม่ให้เกิดอาการอุดตันอีกด้วย
คำถามที่พบบ่อย
1. เป็นสิวอักเสบต้องรักษาอย่างไร
การรักษาสิวอักเสบเริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันและไม่ทำให้ระคายเคือง หลังจากนั้นสามารถใช้ยาทาภายนอกที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) หรือเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อลดการอักเสบและฆ่าแบคทีเรียได้ในเบื้องต้น
2. ทำไมสิวอักเสบขึ้นเรื่อย ๆ
สิวอักเสบอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การผลิตน้ำมันที่มากเกินไป การสะสมของเซลล์ผิวที่ตาย และแบคทีเรียในรูขุมขน หากไม่ทำการรักษาหรือดูแลผิวอย่างเหมาะสม อาจทำให้สิวอักเสบเกิดขึ้นเรื่อย ๆ
3. สิวอักเสบสามารถหายเองได้ไหม
ในบางกรณี สิวอักเสบอาจหายเองได้ภายในระยะเวลาหนึ่ง แต่การปล่อยให้สิวอักเสบคงอยู่โดยไม่ทำการรักษาอาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงและทิ้งรอยแผลเป็น อาจนำไปสู่หลุมสิวได้ ดังนั้นการรักษาสิวอักเสบอย่างถูกวิธีจึงเป็นสำคัญมาก ๆ เช่นกัน
4. ทำยังไงให้สิวอักเสบหายเร็ว
ถ้าอยากให้สิวอักเสบหายเร็ว ควรใช้ยาที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบ เช่น ยาทาเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ ร่วมกับการรักษาสิวอักเสบโดยแพทย์ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิวและป้องกันการอุดตันของรูขุมขนอีกด้วย
5. สิวอักเสบใช้เวลากี่วันหาย
สิวอักเสบสามารถใช้เวลาหายได้ตั้งแต่ 3 วันถึง 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบและวิธีการรักษา หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม สิวอักเสบมักจะหายเร็วขึ้น
6. ควรกดสิวอักเสบไหม
การกดสิวอักเสบไม่แนะนำ เนื่องจากอาจทำให้แบคทีเรียกระจายตัวและเกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น ควรปล่อยให้สิวหายเองหรือใช้วิธีการรักษาที่ปลอดภัยกว่า เช่น ใช้ยาทาภายนอก หรือรักษาสิวอักเสบกับแพทย์ก็จะช่วยให้สิวหายได้
7. สิวอักเสบใช้อะไรประคบ
การประคบด้วยน้ำเย็นหรือผ้าชุบน้ำเย็นสามารถช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการเจ็บได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เจลว่านหางจระเข้หรือครีมที่มีส่วนผสมของมอยเจอไรเซอร์ เพื่อลดการระคายเคืองที่เกิดขึ้นได้
8. กินยาแก้อักเสบรักษาสิวอักเสบได้ไหม
ยาแก้อักเสบที่มีส่วนประกอบของไอบูโพรเฟนหรือพาราเซตามอล สามารถช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชก่อนใช้ยา เพื่อความปลอดภัย
9. ฉีดสิวอักเสบยุบกี่วัน
การฉีดสิวเป็นอีกวิธีการรักษาสิวอักเสบ เพื่อลดการอักเสบของสิว หลังจากฉีดสิวไป 1 – 3 วัน สิวก็จะค่อย ๆ ยุบและะหายไป ทั้งนี้ อาจแตกต่างกันไปตามสภาพผิวและการตอบสนองของแต่ละบุคคล
10. ทำไมสิวอักเสบถึงเจ็บ
เมื่อสิวอักเสบแล้วมีความรู้สึกเจ็บนั้น เกิดมาจากการอักเสบที่เกิดขึ้นในรูขุมขน โดยมีการบวมแดงและการกระตุ้นของระบบประสาททำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด
สรุป
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่พบบ่อย ซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งการดูแลรักษาความสะอาด จัดการความเครียด หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่เป็นสาเตหุก่อให้เกิดสิว พร้อมทั้งกาารรักษาสิวอักเสบอย่างถูกวิธี จะช่วยให้สิวหายไปและฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดผิวหน้าและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันการเกิดสิวอักเสบในอนาคตอีกด้วย
Dr. Bank Clinic เรามีโปรแกรมรักษาสิว ช่วยแก้ไขปัญหาผิว เคลียร์สิวให้หมดไป ให้คุณมั่นใจในการใช้ชีวิตได้มากยิ่งขึ้น เดินทางง่าย เพราะคลินิคใกล้ MRT รัชดาภิเษก อีกทั้งยังมีบริการด้านความสวย ความงามที่ครบวงจร ติดต่อสอบถาม เพื่อทำนัดเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ Line ID : @dr.bankclinic หรือโทร. 02-693-9967, 091-004-2777 หรือ 095-719-3166