สิวเป็นปัญหาผิวที่แทบทุกคนต้องเผชิญไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น สิวมีหลากหลายประเภทและมีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกันไป ทำให้การรักษาก็ต้องแตกต่างกันตามไปด้วย การทำความเข้าใจว่า สิวมีกี่ประเภทและแต่ละประเภทมีลักษณะอย่างไร ก็จะช่วยให้เราเลือกวิธีการรักษาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในวันนี้ Dr. Bank จะพาคุณไปทำความรู้จักกับประเภทของสิวต่าง ๆ พร้อมสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาสิวได้อย่างตรงจุด
สิวมีกี่ประเภท
โดยทั่วไปแล้ว หากแบ่งตามลักษณะสิวสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือสิวอักเสบ (Inflammatory Acne) และสิวไม่อักเสบ (Comedones) ซึ่งแต่ละประเภทก็มีลักษณะเฉพาะและวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เกิดจากสิวอุดตันที่มีแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) เจริญเติบโตอยู่ในตุ่มสิว แบคทีเรียชนิดนี้เป็นสาเหตุหลักของการอักเสบ โดยชนิดของสิวอักเสบสามารถแบ่งได้หลายชนิดตามความรุนแรงของการอักเสบ ดังนี้
- สิวตุ่มแดง (Papule) เป็นตุ่มแดงเจ็บขนาดไม่เกิน 0.5 ซม. มักเป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่เปลี่ยนมาจากสิวอุดตัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงเข้มถึงสีม่วง หรือมีสีเข้มกว่าสีผิวตามธรรมชาติ และเจ็บเมื่อกด
- สิวหัวหนอง (Pustule) สิวหัวหนองมีลักษณะเป็นตุ่มแดงและรู้สึกปวด มีหัวหนองสีเหลืองด้านบนตุ่ม เป็นสิวที่มีการอักเสบมากกว่าสิวชนิด Papule หรืออาจเกิดจากสิวอักเสบที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นแทรกซ้อน บวมนูนชัดเจน หนองที่เห็นเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายจากการต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย
- สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule) เป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บปวดค่อนข้างมาก มักเกิดจากการเป็นสิวอักเสบชนิด Papule แล้วมีการกดบีบสิว ทำให้แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้สิวยิ่งอักเสบบวมแดง ลักษณะเป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง ไม่มีหัว ต้องใช้เวลาในการรักษา และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น
- สิวซีสต์ (Acne Cyst) สิวซีสต์พบได้ไม่บ่อย มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดงขนาดใหญ่ ภายในเป็นโพรงมีของเหลวข้นหนืดสีเหลืองหรือหนองปนเลือด เกิดจากการอักเสบรุนแรงใต้ชั้นผิวหนัง เป็นสิวที่มีระดับความเจ็บปวดมากที่สุด แม้จะรักษาจนยุบแล้ว มักจะกลายเป็นแผลเป็นก้อนนูนแข็งหรือหลุมสิวขนาดใหญ่
- สิวหัวช้าง (Acne Conglobata) เป็นสิวอักเสบชนิดที่มีความรุนแรงมาก เกิดจากสิวอักเสบรุนแรงทุกชนิดขึ้นรวมกันหนาแน่น มีลักษณะนูน บวม แดงและมีหัวหนองอย่างเห็นได้ชัด รักษาได้ยาก เป็นตุ่มหรือก้อนไตสีแดงที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังที่ผลิตไขมันออกมามากกว่าปกติ หากได้รับการรักษาที่ผิดวิธีอาจทำให้สิวลุกลามติดเชื้อมากขึ้น เซลล์ผิวหนังถูกทำลายจนกลายเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่หรือหลุมสิวถาวร
- สิวเชื้อรา หรือสิวยีสต์ (Malassezia folliculitis) เกิดจากการอักเสบของต่อมรูขุมขนที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อราประเภทยีสต์ (Malassezia species) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและมีอาการคัน โดยมีปัจจัยจากสภาพอากาศที่ร้อน อับชื้น หรือเมื่อมีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ
2. สิวไม่อักเสบ (Comedones)
สิวไม่อักเสบ (Comedones) หรือสิวอุดตันเกิดจากการสะสมอุดตันของไขมันส่วนเกิน เซลล์ผิวเสียหรือสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขน มีลักษณะนูนขึ้นมาบนผิวหนัง เมื่อจับแล้วรู้สึกว่าหน้าไม่เรียบแต่ไม่รู้สึกเจ็บ สิวไม่อักเสบสามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิด ดังนี้
- สิวหัวขาว (Whiteheads) เป็นสิวอุดตันชนิดหัวปิด มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีขาวนูนขึ้นมาจากผิวหนัง มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ายาก ต้องจับใบหน้าถึงจะรู้สึกได้ สิวหัวขาวเกิดจากการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวเสียในรูขุมขน หากไม่รีบหาวิธีรักษาสิว มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้สูงเนื่องจากเกิดการสะสมเชื้อสิวในชั้นผิว
- สิวหัวดำ (Blackheads) เป็นสิวอุดตันชนิดหัวเปิด เกิดจากไขมันส่วนเกิน เส้นขน หรือเซลล์ผิวเสียที่ทับถมอุดตันในรูขุมขน และทำปฏิกิริยากับเมลานินหรือเม็ดสีในผิวหนังร่วมกับออกซิเจนจนทำให้หัวสิวกลายเป็นสีเหลือง สีน้ำตาลจนไปถึงสีดำ สิวหัวดำเป็นสิวชนิดที่พบได้บ่อยและไม่ร้ายแรง
- สิวเสี้ยน (Pimples) มีลักษณะเป็นสิวเล็กๆ คล้ายหนามที่เกิดจากความผิดปกติของรูขุมขนที่มีกระจุกขนเส้นเล็กๆ หลายเส้นขึ้นแทรกอยู่บนหัวสิวภายในรูขุมขนเดียวกัน เมื่อขนอ่อนที่อุดตันร่วมกับไขมันและเซลล์ผิวเสียส่งผลให้เกิดสิวเสี้ยนตามมา
- สิวผด (Acne aestivalis) เป็นสิวหัวเปิดที่เกิดจากการถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVA ความร้อนจากแสงแดด หรืออากาศร้อน ทำให้เกิดเป็นตุ่มเล็กๆ คล้ายสิวอุดตัน หรือตุ่มแดงคล้ายสิวอักเสบ
สิวมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
จุดเริ่มต้นของสิวเกิดจากการอุดตันในรูขุมขน เนื่องจากน้ำมันจากต่อมไขมันที่ถูกขับออกมาผ่านท่อรูขุมขน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนขวางทาง ทำให้น้ำมันสะสมอยู่ภายในรูขุมขนจนเกิดเป็นสิ; ทั้งนี้ สาเหตุหลักของการเกิดสิว ได้แก่
- การผลิตน้ำมันมากเกินไป เกิดจากการสังเคราะห์ของต่อมไขมัน โดยเฉพาะน้ำมันที่ชื่อว่าซีบัม (Sebum) ซึ่งปกติทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวชั้นล่าง
- แบคทีเรีย มักจะอาศัยอยู่ในรูขุมขนและผิวหนังเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดการอุดตัน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตและทำให้เกิดการอักเสบ
- ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่นหรือระหว่างรอบเดือนของผู้หญิง สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันที่มากขึ้นและนำไปสู่การเกิดสิว
- การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหรือสารเคมีที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและนำไปสู่การเกิดสิว
- ความเครียด ความเครียดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและกระตุ้นการเกิดสิว
- การรับประทานอาหาร อาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง อาจกระตุ้นการเกิดสิวในบางคน
วิธีการรักษาสิว เพื่อผิวหน้าที่เรียบเนียน
ทั้งนี้ การรักษาสิวที่ถูกต้องนั้นขึ้นอยู่กับสิวแต่ละชนิดและความรุนแรง โดยเบื้องต้นก็มีวิธีการรักษาดังนี้
1. ใช้ยาแต้มสิว แต้มเฉพาะที่
การใช้ยาทารักษาสิวหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการลดสิวอุดตัน เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาสิวด้วยตนเอง ยาแต้มสิวที่ดีจะต้องมีฤทธิ์ที่ช่วยสลายการอุดตันในต่อมไขมัน ชะลอการหลั่งน้ำมันส่วนเกิน รือมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์เร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออก
อย่างไรก็ตาม ก่อนใช้ยาแต้มสิว ควรปรึกษาการใช้ยากับเภสัชกรและแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งอ่านฉลากใช้ยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะหากใช้ยาเกินขนาด อาจมีความรุนแรง ส่งผลเสียต่อผิวได้
2. รับประทานยา
สำหรับสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรงหรือเมื่อการรักษาเฉพาะที่ไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาให้ยารับประทานเพื่อรักษาสิวอักเสบ ยารับประทานสำหรับรักษาสิวมีหลายประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะที่ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ยาฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันหรือยาที่ช่วยลดการอักเสบ
ทั้งนี้ การรับประทานยารักษาสิวต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง ไม่ควรซื้อยารับประทานมาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
3. ทำความสะอาดหน้า
เพราะต้นเหตุของการเกิดสิวส่วนใหญ่มักเกิดจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปหมักหมมรวมกับน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าแล้วเข้าไปอุดตันภายในรูขุมขน ดังนั้นการล้างหน้าให้สะอาดหมดจด จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรก ฝุ่น คราบมันต่าง ๆ หรือซีบัมที่คงอยู่บนผิวหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเกิดเป็นสิวได้
แนะนำให้ทำความสะอาดแบบ Double Cleansing โดยเริ่มจากการใช้คลีนซิ่ง เพื่อกำจัดคราบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกที่ละลายในน้ำมัน แล้วตามด้วยเจลล้างหน้าเพื่อทำความสะอาดส่วนที่ละลายในน้ำ วิธีนี้จะช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ลดโอกาสการเกิดสิวจากสิ่งสกปรกตกค้างได้
4. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
การดื่มน้ำเปล่าสะอาดช่วยกำจัดสิ่งสกปรก รวมถึงไขมันต่างๆ ออกมาตามเหงื่อไคล ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันของสิว ทั้งนี้ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2.2 ลิตรต่อวันหรือประมาณ 8 แก้ว โดยน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวและเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ผิวแลดูสุขภาพดี ลดการเกิดสิวและความมันบนใบหน้าอีกด้วย
5. ไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ
ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวได้ เพราะเมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น เพิ่มโอกาสการเกิดสิวได้ การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิหรือการหากิจกรรมผ่อนคลายที่ชื่นชอบ จะช่วยลดความเครียดและลดโอกาสการเกิดสิวได้
นอกจากนี้ การพักผ่อนอย่างเพียงพอก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะผิวของเราต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง การนอนหลับอย่างเต็มที่อย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน จะช่วยปรับสมดุลร่างกายให้มีการทำงานอย่างปกติ ลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียดและช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ปัญหาสิวลดลงในระยะยาว
สรุปบทความ
ในบทความนี้ได้ทราบกันไปแล้วว่าสิวมีกี่ประเภท ทั้งสิวอักเสบและสิวไม่อักเสบ แต่ละประเภทก็มีสาเหตุการเกิดและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากเข้าใจถึงประเภทของสิวก็จะช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาแต้มสิว การรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธี การดื่มน้ำให้เพียงพอหรือการลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ และสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวรุนแรง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะหากปล่อยไว้หรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือหลุมสิวถาวรได้ ทั้งนี้ การดูแลผิวอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะช่วยให้ปัญหาสิวดีขึ้นและมีผิวที่สุขภาพดีและดูเรียบเนียนได้
สำหรับผู้ที่มีความกังวลเรื่องปัญหาสิวที่อาจลุกลามไปถึงปัญหาหลุมสิวได้ Dr. Bank Clinic เรามีโปรแกรมรักษาสิว ช่วยรักษาปัญหาสิวได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ยังมีบริการเลเซอร์ลดรอยแดงและรอยดำจากสิวให้คุณมั่นใจในผิวหน้าได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังเรายังมีโปรแกรมรักษาหลุมสิว (Acne Scar Laser) ด้วย Pico Laser หลุมสิวที่ใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าและลดเลือนหลุมสิวให้เรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นผล ด้วยการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการรักษาที่ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล พร้อมกลับมามีผิวหน้าที่เรียบเนียน กระจ่างใสอีกครั้ง