หน้าเป็นหลุมสิว ความกังวลของหลายคนที่เคยมีปัญหาสิวอักเสบ ถึงแม้สิวจะหายแล้ว แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยไว้และกลับกลายหลุมลึก ทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน แถมยังรักษายากกว่าสิวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่า หลุมสิวรักษายังไง เราจำเป็นต้องเข้าใจสาเหตุของการเกิด และประเภทของแต่ละหลุมสิวก่อน เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา
หลุมสิวเกิดจากอะไร
หลุมสิวไม่ได้เกิดจากสิวธรรมดา แต่มักเกิดจากสิวอักเสบที่ลุกลามรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีการรักษาที่ไม่ถูกวิธี เช่น การบีบหรือแกะสิว ทำให้เกิดการอักเสบลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้ เมื่อสิวหาย ร่างกายจะพยายามซ่อมแซมบาดแผลด้วยการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ แต่หากบาดแผลลึกเกินไป กระบวนการฟื้นฟูอาจไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดเป็นหลุมบุ๋มบนใบหน้า
หลุมสิวมีกี่ประเภท
หลุมสิวแต่ละประเภทมีลักษณะและความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป 3 ประเภท ดังนี้
Ice Pick Scars
หลุมสิวประเภท Ice Pick จะมีลักษณะเด่น คือปากหลุมจะแคบ แต่จะค่อนข้างลึก และจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 มิลลิเมตร แต่อาจลึกถึงชั้นหนังแท้ ส่วนใหญ่พบบริเวณแก้ม และเป็นประเภทที่รักษายากที่สุด เนื่องจากความลึกของแผลและขนาดที่แคบ ทำให้การฟื้นฟูต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษกว่าผิวหน้าจะกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง
Box Scars
หลุมสิว Box Scarsเป็นหลุมกว้างที่มีขอบชัดเจน คล้ายกล่องสี่เหลี่ยม ขนาดประมาณ 3 – 4 มิลลิเมตร โดยความกว้างของปากหลุมและก้นหลุมมักเท่ากัน พบได้ทั้งแบบตื้นและลึก สาเหตุของการเกิด Box Scars ส่วนใหญ่จะมาจากการเป็นสิวอักเสบ หรืออาจเกิดจากการเป็นโรคอีสุกอีใสได้อีกด้วย
Rolling Scars
Rolling Scars หลุมสิวที่มีลักษณะเป็นแอ่งกว้าง ขอบไม่ชัดเจน คล้ายคลื่นน้ำ มีขนาดตั้งแต่ 4 – 5 มิลลิเมตรขึ้นไป เป็นหลุมตื้นที่มีการเว้าแหว่งไม่มาก ทำให้ผิวดูเป็นคลื่นเล็ก ๆ การรักษาหลุมประเภทนี้มักได้ผลดี เนื่องจากความลึกไม่มากเท่าประเภทอื่น
5 วิธีรักษาหลุมสิวที่ได้ผลดี
ปัจจุบันมีหลายวิธีการรักษาหลุมสิวที่จะช่วยฟื้นฟูผิวของคุณให้กลับมาดูเรียบเนียนได้อีกครั้ง ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ดังนี้
1. เลเซอร์ Pico
Pico Laser หลุมสิวเป็นนวัตกรรมการรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมจากรีวิว Pico Laser ที่หลายคนเลือกรักษาด้วยวิธีนี้ ซึ่งเป็นวิธีการใช้พลังงานเลเซอร์ความเร็วระดับ Picosecond หรือ 1 ล้านล้านวินาที เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดความลึกของหลุมสิวและกระชับรูขุมขน อย่างไรก็ตาม หลังทำอาจมีอาการร้อนที่ใบหน้าเล็กน้อย 1 – 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ ควรงดแต่งหน้าประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อให้ผิวฟื้นตัว และกลับมาเรียบเนียน
2. ลอกผิวด้วยสารเคมี
การลอกผิวด้วยสารเคมีเป็นอีกวิธีการรักษาหลุมสิว โดยวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจน โดยสามารถลอกผิวได้ตามระดับความตื้น-ลึก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม การลอกผิวระดับลึกจะสามารถทำการรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลอกผิวด้วยสารเคมีระดับลึกจะทายาเฉพาะจุดที่เป็นหลุมสิว อย่างไรก็ตาม วิธีนี้จำเป็นต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะอาจเกิดการระคายเคืองหรือรอยดำได้หากทำไม่ถูกวิธี
3. ทาเซรั่มหรือครีมรักษาหลุมสิว
การใช้ผลิตภัณฑ์ทาเฉพาะที่ เช่น เซรั่มหรือครีมที่มีส่วนผสมของ Retinoids หรือกรด AHA เป็นวิธีที่ปลอดภัยและสามารถทำได้ที่บ้าน แต่ให้ผลช้าและอาจไม่เห็นผลชัดเจนในกรณีหลุมสิวลึก เหมาะสำหรับหลุมสิวตื้นหรือใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นได้อีกด้วย
4. ผ่าตัดหลุมสิว
การผ่าตัดหลุมสิวเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวลึก โดยเฉพาะ Ice Pick Scars และ Box Scars ซึ่งมีขนาดไม่เกิน 3 มิลลิเมตร โดยวิธีนี้จะใช้เครื่องมือขนาดเล็กตัดพังผืดที่ดึงรั้งผิวให้ยุบตัว แล้วดึงขอบแผลให้เรียบเนียนเหมือนผิวปกติ วิธีนี้ค่อนข้างให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่จำเป็นต้องอาศัยการฟื้นตัวมากกว่าวิธีการรักษาหลุมสิวอื่น ๆ หลังจากทำมาแล้วห้ามโดนน้ำ 3 วันหลังทำ และไม่ควรโดนแดดจัดโดยตรง 2 สัปดาห์หลังทำ
5. ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มหลุมสิว ช่วยยกระดับผิวให้เรียบเนียนขึ้นทันที และยังเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เร็วและมีเวลาพักฟื้นน้อย เพราะวิธีนี้ หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลลย และยังสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้เช่นกัน
สรุปบทความ
การรักษาหลุมสิวไม่มีวิธีไหนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกคน ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของหลุมสิว งบประมาณ และความพร้อมในการฟื้นตัว บางคนอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ แต่ที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวใหม่ด้วยการดูแลรักษาสิวอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก เพื่อผิวหน้าที่เรียบเนียน สวยของคุณ